TMS กับการพัฒนากระบวนการโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ

ยกระดับโลจิสติกส์ด้วย TMS เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ

ในยุคที่การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนมีความซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดที่แข่งขันสูงจึงต้องหาวิธีการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน หนึ่งในเครื่องมือที่เข้ามาช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความรวดเร็วในการจัดการโลจิสติกส์ก็คือ TMS (Transportation Management System) หรือ ระบบจัดการขนส่ง


1. ทำความรู้จักกับ TMS

TMS (Transportation Management System) คือ ระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการวางแผน, ควบคุม, และติดตามการขนส่งสินค้าภายในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของธุรกิจ โดย TMS มีหน้าที่หลักในการช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ, ลดต้นทุน, และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

TMS จะเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น WMS (Warehouse Management System) และ ERP (Enterprise Resource Planning) ซึ่งช่วยให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการขนส่ง, การจัดเก็บสินค้า และการบริหารทรัพยากรทางธุรกิจสามารถไหลเวียนได้อย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาในการประสานงาน

ฟังก์ชันหลักของ TMS

  1. การวางแผนและการเลือกเส้นทาง
    TMS ช่วยในการวางแผนการขนส่งโดยการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง โดยจะคำนวณจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพการจราจร, พื้นที่ส่งของ, และต้นทุนการขนส่ง
  2. การเลือกผู้ให้บริการขนส่ง (Carrier Selection)
    TMS ช่วยให้ธุรกิจเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด โดยสามารถเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ผู้ให้บริการและเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดตามข้อกำหนดของธุรกิจ
  3. การติดตามการขนส่ง (Real-time Tracking)
    ระบบ TMS ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะการขนส่งในเวลาแบบเรียลไทม์ (real-time) โดยสามารถรู้ได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือสินค้าถึงไหนแล้ว ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการและปรับปรุงการดำเนินงานได้ทันทีหากเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการขนส่ง
  4. การจัดการต้นทุนการขนส่ง
    TMS ช่วยในการคำนวณและควบคุมต้นทุนการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การเลือกเส้นทางที่เร็วและประหยัด, การจัดกลุ่มสินค้าที่จะขนส่งร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งแต่ละรอบ
  5. การรายงานและการวิเคราะห์
    TMS จะเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการขนส่ง เช่น เวลาในการขนส่ง, ต้นทุน, การใช้งานของผู้ให้บริการขนส่ง, และการส่งมอบสินค้า ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการขนส่งในอนาคต ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการตัดสินใจที่ดีขึ้นและคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ประโยชน์ของ TMS

  1. ลดต้นทุน
    โดยการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดและลดความล่าช้าในการขนส่ง TMS ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการขนส่ง เช่น ค่าขนส่งที่ไม่คุ้มค่า, ค่าปรับการส่งสินค้าล่าช้า, หรือการใช้พาหนะที่ไม่เหมาะสม
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    TMS ช่วยให้การจัดการการขนส่งเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ซับซ้อน ลดเวลาที่ใช้ในการวางแผนและจัดการกระบวนการขนส่ง ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้มากขึ้นในเวลาเดียวกัน
  3. ปรับปรุงการบริการลูกค้า
    การที่สินค้าถึงปลายทางตรงเวลาและไม่เสียหายช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และส่งผลให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้
  4. สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจ
    TMS ช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายขีดความสามารถในการจัดการการขนส่งและโลจิสติกส์ได้ง่ายขึ้น ด้วยการควบคุมการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ
  5. การวิเคราะห์ข้อมูลและรายงาน
    TMS สามารถให้ข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในอนาคต เช่น การคำนวณค่าใช้จ่าย, การประเมินผลการใช้บริการขนส่ง และการพัฒนากลยุทธ์ในการจัดการโลจิสติกส์

2. ประโยชน์ของ TMS ต่อธุรกิจ

การใช้ Transportation Management System (TMS) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการโลจิสติกส์และขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน, เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน, และส่งเสริมการบริการที่ดีเยี่ยมแก่ลูกค้า ข้อดีและประโยชน์หลักๆ ของ TMS ต่อธุรกิจมีดังนี้:


1. ลดต้นทุนการขนส่ง

หนึ่งในประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุดของการใช้ TMS คือการช่วย ลดต้นทุนการขนส่ง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญในกระบวนการโลจิสติกส์ ธุรกิจสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายด้าน เช่น

  • การเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด: TMS จะคำนวณเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดทั้งในแง่ของเวลาและค่าใช้จ่าย โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การจราจร, สภาพอากาศ, และระยะทางที่ต้องใช้
  • การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่คุ้มค่า: TMS สามารถช่วยเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ผู้ให้บริการ และเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดกับงบประมาณของธุรกิจ
  • การบรรจุสินค้าให้เหมาะสม: ระบบสามารถคำนวณการบรรจุสินค้าในแต่ละคันรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด และลดการใช้พาหนะหลายคัน

2. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

TMS ช่วยให้ธุรกิจสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยการทำให้กระบวนการขนส่งเป็นอัตโนมัติและลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น

  • การวางแผนการขนส่งอัตโนมัติ: ระบบจะคำนวณและวางแผนการขนส่งให้อัตโนมัติ ไม่ต้องใช้เวลาในการคำนวณหรือประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ
  • การจัดการข้อมูลและเอกสาร: TMS ช่วยในการจัดการเอกสารต่างๆ เช่น ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ ใบเสร็จ และใบแจ้งหนี้ โดยสามารถทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไหลเวียนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
  • การบูรณาการกับระบบอื่นๆ: ระบบ TMS สามารถเชื่อมต่อกับ WMS (Warehouse Management System) หรือ ERP (Enterprise Resource Planning) เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือสต็อกสามารถไหลเวียนได้อย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาในการประสานงานระหว่างแผนกต่างๆ

3. การติดตามและตรวจสอบการขนส่งแบบเรียลไทม์

TMS ช่วยให้ธุรกิจสามารถ ติดตามและตรวจสอบการขนส่งสินค้าในเวลาจริง (Real-time Tracking) ซึ่งช่วยในหลายด้าน เช่น

  • ความโปร่งใสในการขนส่ง: ผู้บริหารสามารถติดตามสถานะของการขนส่งสินค้าผ่านแผนที่ออนไลน์ หรือระบบติดตามของ TMS เพื่อทราบตำแหน่งของสินค้าตลอดเวลา
  • การปรับตัวต่อปัญหา: หากเกิดปัญหาในการขนส่ง เช่น สภาพการจราจรที่ติดขัดหรือความล่าช้าในการขนส่ง ระบบจะสามารถแจ้งเตือนผู้จัดการให้สามารถปรับปรุงหรือหาทางแก้ไขได้ทันที
  • การปรับปรุงการบริการลูกค้า: การติดตามสินค้าทำให้ธุรกิจสามารถแจ้งลูกค้าเกี่ยวกับสถานะการขนส่งได้ในเวลาจริง เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

4. การปรับปรุงการบริการลูกค้า

การส่งมอบสินค้าตรงเวลาและในสภาพดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ความพึงพอใจของลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น

  • การจัดส่งตรงเวลา: TMS ช่วยให้การจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้ตรงเวลา โดยการวางแผนเส้นทางที่ดีที่สุดและใช้การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
  • การลดความผิดพลาดในการขนส่ง: ระบบช่วยลดข้อผิดพลาดต่างๆ เช่น การส่งสินค้าผิดหรือการขาดสินค้าจากการขนส่ง ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าตามที่ต้องการในทุกๆ การสั่งซื้อ
  • การให้บริการที่โปร่งใสและทันท่วงที: ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของการจัดส่งได้ทุกขั้นตอน เพิ่มความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการ

5. การวิเคราะห์ข้อมูลและการปรับปรุงกระบวนการ

TMS ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการขนส่ง เช่น เวลาในการจัดส่ง, ต้นทุน, และประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ วิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น

  • การวิเคราะห์ต้นทุนการขนส่ง: ข้อมูลจาก TMS สามารถช่วยในการวิเคราะห์ต้นทุนที่เกิดขึ้นในการขนส่งแต่ละครั้ง และช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจเรื่องการเลือกเส้นทางหรือผู้ให้บริการที่คุ้มค่า
  • การระบุจุดที่ต้องการปรับปรุง: ธุรกิจสามารถระบุจุดที่มีปัญหาหรือประสิทธิภาพต่ำ เช่น เส้นทางที่ใช้เวลานานเกินไป หรือการขนส่งที่เกิดความล่าช้าบ่อยครั้ง จากนั้นสามารถหาทางปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

6. รองรับการขยายตัวของธุรกิจ

เมื่อธุรกิจเติบโต การขยายระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย TMS ช่วยให้ธุรกิจสามารถ ขยายการดำเนินงานได้อย่างยืดหยุ่น โดยสามารถรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น, ขยายเครือข่ายการขนส่ง, หรือรวมหลายๆ กระบวนการเข้าด้วยกันโดยไม่เพิ่มภาระในการจัดการ


3. การทำงานร่วมกันระหว่าง TMS กับระบบอื่นๆ

การทำงานร่วมกันระหว่าง TMS กับระบบอื่นๆ

การเชื่อมต่อ TMS (Transportation Management System) กับระบบอื่นๆ ในธุรกิจ เช่น WMS (Warehouse Management System), ERP (Enterprise Resource Planning) และ OMS (Order Management System) ช่วยให้การดำเนินงานในกระบวนการโลจิสติกส์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทำงานร่วมกันระหว่างระบบต่างๆ เหล่านี้สามารถเพิ่มความคล่องตัว, ลดข้อผิดพลาด, และปรับปรุงการตัดสินใจในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน

1. TMS กับ WMS (Warehouse Management System)

WMS (Warehouse Management System) เป็นระบบที่ช่วยจัดการและควบคุมการทำงานในคลังสินค้า เช่น การรับสินค้า, การจัดเก็บสินค้า, การจัดการสินค้าคงคลัง, และการจัดเตรียมสินค้าเพื่อการจัดส่ง ข้อดีของการเชื่อมต่อ TMS กับ WMS ได้แก่:

  • ข้อมูลสินค้าจากคลัง: การเชื่อมต่อกับ WMS ทำให้ TMS สามารถรับข้อมูลสินค้าคงคลังและสถานะสินค้าในคลังได้อย่างเรียลไทม์ ช่วยให้ระบบ TMS สามารถวางแผนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคำนึงถึงจำนวนสินค้าที่พร้อมส่ง
  • การจัดการคำสั่งซื้อ: TMS สามารถใช้ข้อมูลจาก WMS เพื่อเลือกเส้นทางและการขนส่งที่เหมาะสมสำหรับสินค้าที่จะจัดส่ง ช่วยลดความล่าช้าในการจัดส่ง และปรับปรุงการใช้พื้นที่ในคลังสินค้า
  • ลดข้อผิดพลาด: การเชื่อมต่อทั้งสองระบบช่วยให้ลดการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนหรือข้อมูลผิดพลาดระหว่างการจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง

2. TMS กับ ERP (Enterprise Resource Planning)

ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการข้อมูลธุรกิจหลักๆ เช่น การเงิน, การผลิต, การขาย, และการสต็อกสินค้า เมื่อ TMS เชื่อมต่อกับ ERP, ข้อมูลจากหลายแผนกภายในธุรกิจจะไหลเวียนไปในระบบเดียวกัน ช่วยให้การตัดสินใจและการดำเนินการในกระบวนการโลจิสติกส์มีความแม่นยำและมีข้อมูลสนับสนุนที่ครบถ้วน:

  • การเชื่อมต่อข้อมูลทางการเงิน: TMS สามารถใช้ข้อมูลทางการเงินจาก ERP เพื่อคำนวณต้นทุนในการขนส่งและจัดการกับงบประมาณสำหรับการขนส่ง
  • การบูรณาการคำสั่งซื้อ: เมื่อคำสั่งซื้อได้รับการยืนยันในระบบ ERP ข้อมูลจะถูกส่งไปยัง TMS โดยอัตโนมัติ เพื่อเริ่มการวางแผนและจัดการขนส่ง
  • การควบคุมสต็อกสินค้า: ข้อมูลจาก ERP สามารถช่วย TMS ในการวางแผนการขนส่งให้ตรงกับสถานะของสต็อกสินค้าในคลัง จึงช่วยลดปัญหาการขาดสต็อกหรือสินค้าล่าช้า

3. TMS กับ OMS (Order Management System)

OMS (Order Management System) เป็นระบบที่ใช้ในการติดตามการสั่งซื้อและจัดการคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการจัดการการขนส่ง โดยการเชื่อมต่อ TMS กับ OMS ช่วยให้กระบวนการขนส่งมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น:

  • ข้อมูลคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์: เมื่อมีการสร้างคำสั่งซื้อใน OMS ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกส่งไปยัง TMS โดยอัตโนมัติ ช่วยให้การวางแผนการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและตรงกับความต้องการของลูกค้า
  • การจัดลำดับการขนส่ง: TMS สามารถใช้ข้อมูลจาก OMS เพื่อจัดลำดับการจัดส่งสินค้าได้ตามความสำคัญ หรือวันที่ต้องการส่งมอบสินค้า
  • การส่งข้อมูลให้ลูกค้า: การเชื่อมโยง TMS กับ OMS ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะการขนส่งสินค้าได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

4. TMS กับ CRM (Customer Relationship Management)

CRM (Customer Relationship Management) คือระบบที่ใช้ในการจัดการข้อมูลลูกค้าและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการเชื่อมต่อ TMS กับ CRM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าและการจัดส่ง:

  • การจัดส่งตามความต้องการของลูกค้า: TMS สามารถรับข้อมูลการจัดส่งจาก CRM ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการพิเศษของลูกค้า เช่น การจัดส่งที่ต้องการความเร่งด่วน หรือการจัดส่งในวันที่กำหนด
  • การตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็ว: ข้อมูลการขนส่งจาก TMS ที่เชื่อมโยงกับ CRM ช่วยให้ทีมบริการลูกค้าสามารถให้ข้อมูลสถานะการจัดส่งแก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และทำให้การตอบสนองต่อข้อสงสัยของลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

5. TMS กับ GPS และ IoT (Internet of Things)

การใช้ GPS และ IoT (Internet of Things) ในการเชื่อมต่อกับ TMS ช่วยให้การติดตามและการตรวจสอบการขนส่งมีความแม่นยำและทันสมัยมากยิ่งขึ้น:

  • การติดตามยานพาหนะ: การใช้ GPS ทำให้ธุรกิจสามารถติดตามตำแหน่งของยานพาหนะในเวลาจริง ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การจราจรติดขัด
  • การตรวจสอบสภาพสินค้าผ่าน IoT: IoT ช่วยในการตรวจสอบสภาพสินค้าระหว่างการขนส่ง เช่น อุณหภูมิ หรือการสั่นสะเทือน ซึ่งสำคัญสำหรับสินค้าที่ต้องการการขนส่งในสภาพที่เฉพาะเจาะจง (เช่น สินค้าแช่เย็น)

4. TMS กับฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายและเหมาะสมสำหรับผู้ใช้

Transportation Management System (TMS) ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการจัดการการขนส่งและโลจิสติกส์ แต่ยังต้องออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายและเหมาะสมกับผู้ใช้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ผู้ที่ไม่เคยใช้งานซอฟต์แวร์มาก่อนจนถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการโลจิสติกส์ การที่ TMS มี ฟังก์ชันการใช้งานที่ง่าย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยให้การดำเนินงานในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกมากยิ่งขึ้น

1. User-Friendly Interface (อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย)

หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของ TMS คือ อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ที่หลากหลาย โดยมักจะมีฟังก์ชันที่เรียบง่ายและสามารถเข้าถึงได้จากหน้าแดชบอร์ดเดียวกัน:

  • แดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย: แดชบอร์ดที่ออกแบบให้ใช้งานง่ายช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นข้อมูลสำคัญได้ทันที เช่น สถานะการขนส่ง, ต้นทุน, และเส้นทางการขนส่งที่เลือกใช้
  • การนำทางที่ไม่ซับซ้อน: TMS ที่ดีจะมีการออกแบบเมนูและเครื่องมือให้ใช้งานได้ง่าย มีการจัดหมวดหมู่ของฟังก์ชันต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลหรือทำงานต่างๆ ได้รวดเร็ว
  • การตั้งค่าที่ง่าย: ระบบที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าหรือปรับเปลี่ยนการทำงานต่างๆ ได้ง่าย เช่น การตั้งค่าผู้ให้บริการขนส่ง, การเลือกเส้นทาง, และการปรับแต่งรายงาน

2. การใช้งานแบบอัตโนมัติ (Automation)

TMS สามารถทำให้การดำเนินการขนส่งมีความสะดวกและลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนโดยการ อัตโนมัติ กระบวนการต่างๆ ที่สำคัญ:

  • การวางแผนการขนส่งอัตโนมัติ: TMS สามารถคำนวณและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดเวลาที่ผู้ใช้ต้องใช้ในการคำนวณหรือวางแผนการขนส่ง
  • การเลือกผู้ให้บริการขนส่งอัตโนมัติ: ระบบ TMS สามารถเปรียบเทียบตัวเลือกของผู้ให้บริการขนส่งและเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดการการขนส่งมีความแม่นยำและประหยัดเวลา
  • การบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ: ข้อมูลต่างๆ เช่น ต้นทุนการขนส่ง, เวลาการส่งมอบ, หรือสถานะการขนส่งจะได้รับการบันทึกและอัปเดตโดยอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ

3. การติดตามสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking)

ฟังก์ชัน การติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์ เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ TMS มีความเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ในทุกระดับ โดยช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการขนส่งได้ตลอดเวลา:

  • การติดตามตำแหน่งของสินค้า: ผู้ใช้สามารถติดตามตำแหน่งของสินค้าในทุกขั้นตอนของการขนส่งผ่านแผนที่ออนไลน์หรือแดชบอร์ดของ TMS ซึ่งช่วยให้ทั้งผู้จัดการและทีมงานสามารถตัดสินใจได้ทันท่วงทีหากเกิดปัญหา
  • การแจ้งเตือนและการอัปเดต: TMS สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนให้กับผู้ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้น เช่น การล่าช้าของการขนส่งหรือสินค้าถึงปลายทางแล้ว

4. การรายงานและการวิเคราะห์ที่ง่าย (Easy Reporting and Analytics)

การสร้าง รายงานและการวิเคราะห์ที่เข้าใจง่าย เป็นฟังก์ชันสำคัญที่ทำให้ TMS มีความเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการข้อมูลที่สรุปและนำไปใช้ได้ทันที:

  • การสร้างรายงานอัตโนมัติ: TMS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรายงานต้นทุนการขนส่ง, รายงานการเลือกเส้นทาง, หรือรายงานการส่งมอบสินค้า
  • เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้งานง่าย: TMS มักมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง เช่น การวิเคราะห์ต้นทุนการขนส่ง, ประสิทธิภาพของผู้ให้บริการขนส่ง, หรือการประเมินประสิทธิภาพของเส้นทาง
  • การแสดงผลข้อมูลแบบกราฟิก: การแสดงผลข้อมูลในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจข้อมูลได้ง่ายและนำไปใช้ในการตัดสินใจได้รวดเร็ว

5. การเข้าถึงระบบจากทุกที่ (Cloud-Based and Mobile Accessibility)

TMS ที่ดีมักจะเป็นระบบ Cloud-based ที่สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่และทุกอุปกรณ์ ซึ่งเหมาะสมกับการทำงานในยุคปัจจุบันที่ผู้ใช้งานมักจะต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน:

  • การเข้าถึงจากมือถือและแท็บเล็ต: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและฟังก์ชันต่างๆ ของ TMS ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือหรือแท็บเล็ต ช่วยให้การติดตามการขนส่งและการดำเนินงานเป็นไปได้ทุกที่ทุกเวลา
  • การทำงานร่วมกันในทีม: ระบบ Cloud-based ช่วยให้ผู้ใช้หลายคนในทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายและสามารถแชร์ข้อมูลได้ทันที

6. การรองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน (Multilingual and Multicurrency Support)

สำหรับธุรกิจที่มีการดำเนินการในหลายประเทศหรือหลายภูมิภาค ฟังก์ชันการรองรับหลายภาษาและหลายสกุลเงิน เป็นสิ่งสำคัญ:

  • หลายภาษา: TMS จะรองรับหลายภาษาซึ่งช่วยให้ผู้ใช้จากประเทศต่างๆ สามารถใช้งานระบบได้อย่างสะดวก
  • หลายสกุลเงิน: ระบบสามารถคำนวณและแสดงผลในหลายสกุลเงินได้ ซึ่งเหมาะสมกับธุรกิจที่ดำเนินการขนส่งสินค้าข้ามประเทศ

สรุป

TMS หรือ ระบบจัดการการขนส่ง คือ เครื่องมือที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโลจิสติกส์และการขนส่ง ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการดำเนินงาน เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยฟังก์ชันการทำงานที่ใช้งานง่ายและเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้ดี TMS จึงเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามในการยกระดับการดำเนินงานในยุคปัจจุบัน.


การจัดการโลจิสติกส์ที่ดี ไม่เพียงแค่ลดต้นทุน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว